การปลูกดอกบัว


       บัวเป็นไม้น้ำที่มีการเจริญเติบโตและมีลักษณะทรงต้นที่แตกต่างจากไม้ดอกชนิดอื่นๆ
ดังนั้นจึงมีวิธีการปลูกและมีปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตหลายปัจจัยด้วยกัน

ประเภทของบัวที่จำแนกตามลักษณะการเจริญเติบโต
       1. บัวหลวงหรือปทุมชาติ เจริญเติบโตด้วยการไหลไปตามผิวดิน สามารถแตกต้นใหม่จากข้อ และเปลี่ยนสภาพเป็นเหง้าฝังจมอยู่ใต้ดินเหมือนตาข่าย เมื่อถึงฤดูแล้ง น้ำแห้งเหง้าจะไม่ตาย เมื่อถึงฤดูฝน มีน้ำ จะแตกต้นใหม่เจริญเติบโตต่อไป ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจน เมื่ออายุมากขึ้น ไหลจะสร้างผิวหนาสีน้ำตาลและเปลี่ยนสภาพเป็นเหง้า ใบและดอกเกิดจากหน่อบริเวณข้อปล้องที่เจริญขึ้นเหนือผิวน้ำ ใบเป็นใบเดี่่ยว ดอกเป็นดอกเดี่ยว บานเวลากลางวัน มีกลีบดอกจำนวนมาก ส่วนของฐานรองดอกขยายใหญ่หุ้มรังไข่ไว้ เรียกว่า ฝักบัว
       2. บัวฝรั่ง เจริญเติบโตเป็นเหง้าตามแนวนอนใต้ผิวดิน สามารถแตกหน่อและเจริญเติบโต เป็นต้นใหม่ได้เช่นเดียวกับบัวหลวง เหง้าเดิมจะฝ่อหรือผุฝังอยู่ในดิน เมื่อถึงฤดูแล้ง น้ำแห้งเหง้าจะไม่ตาย และเมื่อถึงฤดูฝน จะแตกต้นใหม่เจริญเติบโตต่อไป
       3. บัวสาย ต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ดเจริญเป็นไหล ใบเป็นใบเดี่ยว ทรงกลม ขอบใบหยัก ซี่ฟันแหลม ออกดอกเดี่ยว บานเวลากลางคืนไปจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่อต้นโตเต็มที่จะเจริญเป็นหัวอยู่ใต้ดินและแตกหน่อต่อไป ขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยการแยกหน่อมาปลูก บัวสายบางชนิดสามารถนำก้านดอกไปปรุงอาหารได้ ดอกมีทั้งดอกสีแดง สีขาว และสีชมพู
       4. บัวผัน บัวเผื่อน ต้นอ่อนเจริญเติบโตในแนวดิ่งเช่นเดียวกับบัวสาย เมื่อต้นแก่จะเปลี่ยนเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน หรือเป็นลำต้นถ้าพันดิน ส่วนเหง้าใต้ดินจะแตกเป็นต้นใหม่หรือแตกไหลขึ้นสู่ผิวดิน โดยแตกจากจุดเดียวเป็นส่วนใหญ่ และแตกก้านใบ-ก้านดอกที่จุดบนผิวดิน ออกรากที่ส่วนปลายของไหลที่แตก เป็นต้น ต้นมีขนาดเล็กกว่าบัวสาย ขยายพันธุ์ได้ช้าและยากกว่าบัวสาย
       5. บัวจงกลนี เจริญเติบโตจากเมล็ดตามแนวดิ่ง เกิดไหลเกิดเหง้าเช่นเดียวกับบัวผัน บัวเผื่อน เมื่อเหง้าแก่เต็มที่จะผลิตหัวเล็กๆ รอบต้นแม่ หรือหลุดลอยไปงอกในที่ใหม่เป็นต้นใหม่ได้ ดอกสีชมพูอ่อน เมื่อดอกบานแล้วจะไม่หุบ กลีบดอกซ้อนและเป็นหยัก
       6. บัวกระด้ง หรือบัววิกตอเรีย เป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เจริญเติบโตจากเมล็ดขึ้นตามแนวดิ่งเช่นเดียวกับอุบลชาติประเภทล้มลุุก จะโตเป็นต้นเดี่ยว ไม่มีการแตกไหลทอดเหง้าเหมือนบัวชนิดอื่นๆ ใบเป็นใบเดี่ยว ขอบใบยกตั้งขึ้นตรง มีหนามแหลมที่ก้านใบ และผิวใบด้านล่าง ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ บานเวลากลางคืน
ปัจจัยที่สำคัญในการปลูกบัว
       1. ภาชนะที่ใช้ปลูก ควรเป็นภาชนะดินเผา หรือปลูกเลี้ยงในบ่อ ไม่ควรปลูกในภาชนะที่ทำจากโลหะ โดยเฉพาะทองแดง ซึ่งเป็นธาตุที่เป็นพิษต่อบัว ควรเลือกขนาดภาชนะให้เหมาะสมกับพันธุ์ที่นำมาปลูก และคำนึงถึงความต้องการของพันธุ์ดังกล่าวว่าต้องการน้ำลึกหรือน้ำตื้น โดยทั่วไปภาชนะปลูกควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40-60 เซนติเมตร ซึ่งทำให้พื้นที่ผิวหน้าของน้ำที่เหมาะสมสำหรับการแผ่ของใบบัว และมีความลึกประมาณ 18-36 เซนติเมตรที่สามารถบรรจุวัสดุปลูกได้อย่างน้อย 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร โดยทั้งนี้รากของบัวจะใช้เนื้อที่ในการแผ่กระจายประมาณ 10-15 เซนติเมตร และมีความลึกของน้ำเหลืออีกประมาณ 10-12เซนติเมตร โดยวัดจากผิวหน้าของวัสดุปลูกจนถึงระดับน้ำ ซึ่งบัวแต่ละพันธุ์จะต้องการ
ความลึกของวัสดุปลูกในภาชนะที่แตกต่างกันดังนี้
       บัวหลวง หรือบัวฝรั่ง จะเจริญเติบโตได้ดีในวัสดุปลูกที่มีความลึกไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร
       บัวผัน บัวสาย บัวจงกลนี จะเจริญเติบโตได้ดีในวัสดุปลูกที่มีความลึกไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร

       2. เตรียมวัสดุปลูก ควรใช้ดินท้องร่องสวนขุดใหม่ หรือดินเหนียวจากนาข้าว ไม่ควรใช้ดินที่อินทรียวัตถุยังย่อยสลายไม่หมด เพราะจะทำให้น้ำเน่าเสียได้ง่าย นำดินมาตากแดดให้แห้ง แล้วทุบย่อยให้มีขนาดเล็กลง
โดยเตรียมวัสดุปลูกให้มีอัตรส่วนดังนี้
       การเตรียมวัสดุปลูกในภาชนะปลูกโดยทั่วไป ควรผสมกระดูกป่นลงไปในอัตราหนึ่งกำมือต่อวัสดุปลูกหนึ่งบุ้งกี้ ส่วนการเตรียมวัสดุปลูกในบ่อดินขนาดใหญ่ ควรใช้ดินร่องสวนผสมกับกระดูกป่นในอัตรา 20 กรัมต่อพื้นที่ผิวหน้าของวัสดุในบ่อ 1 ตารางเมตร

       วิธีการปลูกบัวมีขั้นตอนดังนี้
       1. ใส่วัสดุปลูกหนาประมาณสองในสามส่วนของภาชนะปลูก อัดวัสดุปลูกให้แน่น
       2. กลบหน้าวัสดุปลูกด้วยดินเหนียวหนาประมาณหนึ่งในสามส่วน แล้วอัดให้แน่น เพื่อป้องกันปุ๋ยหรือไขมันจากวัสดุปลูกส่วนล่างละลายขึ้นมาปนกับน้ำ
       3. นำต้นหรือหน่อลงปลูก ควรใช้อิฐทับรากไว้ หรือใช้ไม้ไผ่ขนาดเท่าตะเกียบหักพับอย่าให้ขาดออกจากกัน แล้วเสียบคร่อมเหง้าไง้ ถ้าเป็นบัวหลวงหรือบัวฝรั่งควรวางเหง้าให้ชิดภาชนะปลูกด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อเมื่อเหง้าโตเต็มที่จะเจริญเลี้อยไปถึงขอบภาชนะอีกด้านหนึ่ง
       4. ใส่้น้ำสะอาดที่ปลอดวัชพืชลงไป โดยน้ำควรมีค่า pH 5.5-8.0 อุณหภูมิน้ำประมาณ 15-35 องศาเซลเซียส
       5. วางภาชนะปลูกในที่ที่ได้รับแสงแดดไม่ต่ำกว่าวันละ 5 ชั่วโมง และไม่ควรเป็นที่มีลมโกรกมาก