เม็ดขนุนไส้เม็ดบัวแห้ง

ส่วนผสม
เม็ดบัวแห้งนึ่งให้สุก 4 ½ ถ้วยตวง

น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง

มะพร้าว 800 กรัม

น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม

น้ำลอยดอกมะลิ 4 ถ้วยตวง

ไข่ 8 ฟอง
 วิธีทำ
1. นำเม็ดบัวแช่น้ำ 1-2 ชั่วโมง

2. นำเม็ดบัวนึ่งให้สุก

3. คั้นกะทิให้ได้ 4 ถ้วยตวง

4. ผสมน้ำตาลทรายกับกะทิ คนให้ละลาย

5. ผสมเม็ดบัวกับกะทิในข้อ 4 ปั่นให้ละเอียด

6. นำส่วนผสมที่บดละเอียดแล้วใส่กะทะทอง ตั้งไฟกวนจนแห้งไม่ติดกะทะ เป็นก้อนกลม
ยกลง ตักใส่ภาชนะ ผึ่งไว้ให้เย็น

7. ปั้นเป็นลูกกลมรี

8. นำน้ำตาลทรายผสมน้ำลอยดอกมะลิ ตั้งไฟเคี่ยวจนเข้มข้น พักไว้

9. ต่อยไข่แยกไข่ขาวไข่แดง ใช้เฉพาะไข่แดง คนให้ไข่แตก

10. นำเม็ดบัวที่ปั้นไว้ชุบไข่ ใส่ลงในน้ำเชื่อมให้เต็มกะทะแล้วจึงนำไปตั้งไฟ

11. พอเดือดตักออก














































การดูแลรักษาบัวเมื่อเข้าฤดูหนาว



 

                บัวและไม้น้ำ-ไม้บกอีกหลายชนิด เมื่อเข้าฤดูหนาวจะพักการเจริญเติบโต สลัดใบทิ้ง
 อาหารที่สะสมไว้จะเปลี่ยนสภาพจากน้ำตาล (รูปแบบต่างๆ) เป็นแป้งเก็บไว้ในต้น หน่อหรือหัว
เมื่อหมดฤดูหนาวเริ่มเจริญเติบโตใหม่จึงนำมาใช้

ประโยชน์จากบัว


ประโยชน์นานาจาก “บัว
บัวมีชาติกำเนิดในโคลนตม แต่ดอกใบมีความสะอาดสวยงาม กลิ่นหอมหลุดพ้นจากสิ่งปฏิกูล ชูดอกใบอย่างสูงศักดิ์ อวดความสวยงาม จนได้ชื่อว่า “บงกช” อันแปลว่า เกิดจากตม กล่าวได้ว่า ทุกส่วนของบัวกินเป็นอาหารได้ และทุกส่วนของบัวก็ใช้ประโยชน์เป็นยาได้

รากบัวสมุนไพรสารพัดประโยชน์

รากบัว (Nelumbo nucifera Gaertn)
     เป็นเหง้าใต้ดินลักษณะเป็นปล้องใหญ่และยาว มีสีขาวงาช้าง ถ้าตัดตามขวางจะเป็นรูกลม เมื่อแก่จะนำมาต้มหรือทำยา

สรรพคุณ  : 
      มีรสหวานมัน แก้อาการอ่อนเพลีย ชูกำลัง ช่วยให้สดชื่น ช่วยเจริญอาหาร ดับกระหาย แก้เสมหะ น้ำลายเหนียว แก้ไอ ดับพิษร้อนให้ปอดชุ่มชื้น ช่วยลดความดันโลหิต แก้ปวดบวม มีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหาร ร่างกายขาดความสมดุล ผู้อยู่ในวัยทองมีอาการนอนไม่หลับก็สามารถช่วยได้ รากบัวใช้ทำกินได้ทั้งอาหารคาว-หวาน จะต้มกินน้ำหรือคั้นดื่มสดๆ ก็ได้ตามชอบ

ต้มกิน
      เป็น วิธีที่นิยมใช้กันทั่วไป คือเอารากบัวมาฝานเป็นแว่นมากน้อยตามต้องการ ใส่น้ำพอท่วม ต้มให้เดือดนาน 10-15 นาที แล้วรินดื่มแต่น้ำ วันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว อาจเติมน้ำผึ้งได้เพื่อให้รสชาติดื่มง่ายขึ้น แต่ไม่ควรเติมน้ำตาลทราย เพราะยิ่งทำให้ร้อนใน  สูตรนี้ใช้ดื่มดับกระหายได้ดี

คั้นเอาน้ำกิน
      ราก บัวสด ๆ มีฤทธิ์แก้ร้อนในได้ดีกว่าน้ำต้มรากบัว วิธีกินให้เอารากมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำกิน ครั้งละ 3-4 ช้อนแกง วันละ 3-4 ครั้ง หากมีเสมหะเหนียวติดคอดื่มน้ำรากบัวสดสูตร 2-3 อาการจะค่อยทุเลาลง เพราะรสชาติเฝื่อนของรากบัวมีสรรพคุณในการสลายพิษ ช่วยละลายเสมหะได้
     นอกจากนี้รากบัวยังนำมาทำอาหารคาว อาทิ ต้มกระดูกหมู ก็ได้ประโยชน์และรสชาติที่แสนอร่อยไม่น้อย


ข้อควรระวัง  :  ผู้ ป่วยที่มีปัญหาทางด้านกระเพาะไม่ควรรับประทานน้ำรากบัวที่คั้นสดโดยตรง แต่ให้เติมน้ำเพิ่มประมาณ 30 เท่า จากนั้นนำไปต้มจนระเหยเหลือ 20 เท่าจากปริมาณเดิม ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากทุกๆ 30 นาที แทน

สรรพคุณรากบัว

                  บัว เป็นพืชน้ำล้มลุก ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็นเหง้า ไหล หรือหัว ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ บางชนิดมีก้านใบบัว บัวจัดเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี บัวหลวงชอบขึ้นในน้ำจืดออกดอกตลอดปี ชอบน้ำสะอาด อยู่ในน้ำลึกพอสมควร ถิ่นกำเนิดของบัวอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเช้า ก้านดอกยาวมีหนามเหมือนก้านใบ ชูดอกเหนือน้ำ และชูสูงกว่าใบเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ สีขาวอมเขียวหรือสีเทาชมพู ร่วงง่าย กลีบดอกจำนวนมากเรียงซ้อนหลายชั้น เกสรตัวผู้มีจำนวนหลายสี คนเอเซียยกให้ดอกบัว เป็นดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์และปัญญา
ตำนานการกินบัว โดยเฉพาะรากบัว ในหลายประเทศทั่วเอเซียมีมายาวนานนับพันปี คนจีนดูจะเป็นชาติที่กินบัวกันมาช้านานกว่าชาติใด เนื่องจากเชื่อว่า การกินบัวนั้นเป็นมงคลอย่างหนึ่งเพราะนอกจากบัว จะป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธุ์แล้ว ยังถือว่า บัวเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์ มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ความงามของเจ้าสาวในพิธี วิวาห์และความรักของบ่าวสาวดังที่ผูกพันแน่นแฟ้น ดังสำนวนไทยที่ว่า..." ตัดบัวยังเหลือใย " และเมืองไทยอย่างบ้านเราก็มีวิถีชีวิตผูกพันกับสายน้ำ ประวัติการกินรากบัวเป็นทั้งอาหารและยาจึงสืบทอดกันมาแต่ช้านานเช่นกัน
คนสมัยก่อนใช้รากบัว เป็นส่วนประกอบของยาหม้อโบราณเพราะมี สรรพคุณเป็นยาเย็น ช่วยลดอาการร้อนใน อาการไอ คนไข้ที่มีไข้สูง หมอแผนโบราณมักให้ดื่มน้ำต้มรากบัวที่ค่อนข้างเย็น ส่วนคนปกติให้ดื่มน้ำต้มรากบัวแบบอุ่น ๆ การกินรากบัวดีต่ออวัยวะภายใน
                  คนโบราณบอกไว้ว่า ดื่มน้ำต้มรากบัววันละ 2 - 3 แก้ว จะช่วยแก้อาการผิดปกติในระบบย่อยอาหารได้ดีเยี่ยม ตั้งแต่อาการท้องเดิน ไปจนถึงอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และช่องทวารหนัก (ซึ่งสังเกตได้จากมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ) ตลอดจนช่วยเจริญอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการเลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน ตลอดจนช่วยลดอาการอาเจียนเป็นเลือด ทั้งยังกินแก้พิษอักเสบ แก้ปอดบวม และเป็นยาชูกำลัง สำหรับคุณค่าทางอาหาร รากบัวอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงโลหิต มีวิตามินบี วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงและมีใยอาหารปริมาณมาก ช่วยแก้อาการท้องผูกได้ชะงัด
นอกจากสรรพคุณที่หลากหลายตามตำราโบร่ำโบราณที่กล่าวมาล้ว ข้อมูลทางโภชนาการและงานวิจัย ยังบอกว่ารากบัวเป็นอาหารชั้นดี ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ประกอบไปด้วยใยอาหาร ที่ช่วยระบบขับถ่าย และมีผลช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ ในรากบัวยังพบวิตามินซี, วิตามินบี 1(ไทอามีน), วิตามินบี 2(ไรโบเฟลวิน), วิตามินบี 3(ไนอาซิน), วิตามินบี 5(กรดแพนโทธีนิก), วิตามินบี 6, โฟเลท และแร่ธาตุ ต่าง ๆ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ซึ่งวิตามินเหล่านี้จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
                  โดยเป็นตัวช่วยในการทำงานของเอนไซม์ ทำให้เซลล์ทำหน้าที่ได้ตามปกติ ไปจนถึงช่วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนแร่ธาตุ ก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย แร่ธาตุบางชนิดเป็นส่วนของสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน เฮโมโกลบิน เอนไซม์ เป็นต้น นอกจากนี้แร่ธาตุยังช่วยในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำหน้าที่อย่างปกติเช่น ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด และช่วยควบคุมสมดุลของน้ำในการไหลเวียนของของเหลวในร่างกาย เป็นต้น ในรากบัวยังพบ “ฟลาโวนอยด์” ซึ่งเป็นสารกลุ่มโฟลีฟีนอล ที่จัดเป็นพฤกษเคมีที่มีคุณสมบัติเด่น ในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง จากการศึกษาวิจัยทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า สารอาหารชนิดนี้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและเส้นเลือดภายใน เนื้องอกได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งอีกด้วย เห็นไหมว่าประโยชน์มากมายขนาดนี้ เรามาดูวิธีการทำที่แสนง่ายของ”น้ำรากบัว”กันค่ะ เริ่มตั้งแต่การล้างและปอกเปลือกนอกออกก่อน หั่นเจ้ารากบัวเป็นแว่น ๆ หนาบางตามความชอบ ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ตั้งไฟต้มน้ำให้เดือด ใส่รากบัวที่หั่นแล้วลงไป ต้มทิ้งไว้สัก 20 นาที จนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี เติมน้ำตาลกรวด หรือน้ำตาลทรายแดง ตามใจชอบ แนะนำว่าให้ใส่น้อย ๆ ให้พอมีรสหวานหน่อย ๆ ก็พอ แค่นี้ เราก็ได้น้ำรากบัว ที่แสนอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกันแล้

กสรบัวหลวง สารพัดประโยชน์


สรรพคุณ : ผิวหหน้า
1. คุณสมบัติในการกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวขาวหรือยับยั้ง เอนไซม์ไทโรซิเนส (สาเหตุของผิวคล้ำ ฝ้า จุดด่างดำ)
2. ช่วยต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ผิวหน้าเกิดจุด ด่างดำ กระ ฝ้า ชะลอการเจริญของเม็ดสี Melanin
3. ช่วยผลัดเซลล์ผิวหมองคล้ำอย่างประสิทธิภาพ ซึ่งจะค่อยๆผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกโดยไม่ทำให้ผิวบอบช้ำ
4. ช่วยในเรื่องของการชะลอการเกิดริ้วรอย บำรุงผิวพรรณ ลดความหมองคล้ำ ให้แลดูอ่อนเยาว์ มีสุขภาพดี
5. Vitamin A - Palminate ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม
วิธีใช้ : ปรับผิว ขาว ใส ลดรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ
1. ผงเกาสรบัวหลวง ผงมะหาด ผงทานาคา ผงนางคำ มะขามพะเยา อย่างละ 1 ช้อนชา
2. น้ำสะอาด (นม น้ำผึ้ง โยเกิต) 2-3 ช้อนโต๊ะ
3. พอกทิ้งไว้ 30-40 นาที ล้างออกด้วยน้ำ(สบู่ โฟม)
4. ทาครีมตามปกติ พอกอาทิตย์ละ 2-4 ครั้ง หรือทุกวันตามสะดวกเลยคะ
ปล. สามารถใส่สมุนไพรเพิ่มตามต้องการได้คะ
ปล. ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลดี
สรรพคุณ : บำรุงร่างกาย
1. สามารถใช้แก้พิษไข้ เข้าตำรับยาและยาหอมหลายขนาน
2. เป็นยาบำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงกำลัง คุมธาตุ แก้ลม บำรุงครรภ์ บำรุงมดลูก บำรุงสมอง
3. จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบัน พบว่า มีสารอัลคาลอยด์ มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตสูง ยับยั้งการเต้นผิดปกติของหัวใจ ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
4. สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในคนปกติและในคนที่เป็นเบาหวาน
วิธีรับประทาน
1. ผงเกสรบัวหลวง 1 ช้อนชา
2. ชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว (ประมาณ 240 มิลลิลิตร) ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที
3. ดื่มขณะที่ยังอุ่นอยู่ ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม รุ่น คุณตา คุณยาย ถึงมีอายุยืนยาว แข็งแรง แล้วยังมีผิวขาว ใส อีกด้วย สมุนไพรไทย เมื่อนำมาใช้ประโยชน์ให้ถูกทาง สามารถทำให้มีสุขกายที่แข็งแรง ผิวสุขภาพดี โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ลองนำวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้กันดูนะคะ " สวย ใส อย่างมีสติ "

กสรบัวหลวง สารพัดประโยชน์

         เกสรบัวหลวง เป็นเกสรที่อยู่ในดอกบัวหลวงมีรสชาติฝาดหอม สามารถใช้แก้พิษไข้ บำรุงครรภ์ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง ทำให้ชื่นใจ เข้าตำรับยาและยาหอมหลายขนาน เมื่อนำมาสกัดด้วยกระบวนการทางเคมี สามารถสกัดได้สารสำคัญ ได้แก่ kaempferol, kaempferol 3-0-B-D-glucopyranoside, sitosterol-3-0-B-D-glucopyranoside ซึ่งมีคุณสมบัติ ในการกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้ผิวขาวหรือยับยั้ง เอนไซม์ไทโรซิเนส (สาเหตุของผิวคล้ำ ฝ้า จุดด่างดำ) จึงถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อช่วยชะลอริ้วรอย บำรุงผิวพรรณ ลดความหมองคล้ำ ให้แลดูอ่อนเยาว์ มีสุขภาพดี โดยใช้ชื่อทางการค้าของสารสกัดจากเกสรบัวหลวงนี้ว่า Lotus Spirit ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมล่าสุดของโลกที่นำเกสรบัวหลวงมาประยุกต์ใช้ในวงการ เครื่องสำอาง

          นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดเผยคุณประโยชน์ของเกสรบัวหลวงทางวิทยาศาสตร์ที่คน สมัยก่อนใช้เข้าตำรายาและยาหอมหลายขนาน ซึ่งอาจหมายถึงการใช้ประโยชน์ในด้านการกำจัดสารพิษได้อีกทางหนึ่ง
          นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ สนช. กล่าวว่า “การ นำสารสกัดจากเกสรบัวหลวงมาใช้เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ร่วมกับนาโนเทคโนโลยี นับว่าเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีการนำผลงานวิจัยและพัฒนาจาก ภูมิปัญญาไทยมาประยุกต์ร่วมกับวิทยาการสมัยใหม่อันนำไปสู่การเพิ่มคุณภาพ และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑให้ได้มาตรฐาน เหมาะสมกับความต้องการของตลาด และสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ต่อไป”

เกสรบัวหลวง : Lianxu (莲须)

เกสรบัวหลวง หรือ เหลียนซู คือ เกสรตัวผู้ที่ทำให้แห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nelumbo nucifera Gaertn. วงศ์ Nymphaeaceae1

แก้ปัญหาผมร่วง

เกสรบัวหลวง (Stamen Nelumbinis)
  • ชื่อไทย: เกสรบัวหลวง, เกสรบัว (ทั่วไป); เกสรสัตตบงกช, เกสรสัตตบุษย์ (ภาคกลาง)2
  • ชื่อจีน: เหลียนซู (จีนกลาง), โหน่ยชิว (จีนแต้จิ๋ว)1
  • ชื่ออังกฤษ: Lotus Stamen1
  • ชื่อเครื่องยา: Stamen Nelumbinis1

การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
: เก็บดอกบัวที่บานเต็มที่ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสในฤดูร้อน แยกเอาเฉพาะเกสรตัวผู้ คลุมด้วย กระดาษ ตากแดดหรือผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เก็บรักษาไว้ในที่มีอากาศเย็นและแห้ง มีการระบายอากาศดี1

การเตรียมตัวยาพร้อมใช้: นำวัตถุดิบสมุนไพรมาคัดแยกเอาสิ่งปนปลอมออก ร่อนเอาฝุ่นและเศษเล็ก ๆ ออก3,4
คุณภาพของตัวยาจากลักษณะภายนอก: ตัวยาที่มีคุณภาพดี เกสรต้องแห้งและไม่แตกหัก สีเหลืองอ่อน เหนียวนุ่ม มีน้ำหนักเบา3,4
สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนจีน: เกสรบัวหลวง มีสรรพคุณแก้อาการฝันเปียก เลือดกำเดาไหล ประจำเดือนมามากกว่าปกติ


คู่มือการใช้สมุนไพรไทย-จีน
แก้ระดูขาว และแก้อาการท้องเสีย3
สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทย: เกสรบัวหลวง มีกลิ่นหอม รสฝาด สรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงกำลัง คุมธาตุ แก้ลม บำรุงครรภ์ และแก้ไข้3

ขนาดที่ใช้และวิธีใช้
  • การแพทย์แผนจีน ใช้ 3-5 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มหรือบดเป็นผงรับประทาน1
  • การ แพทย์แผนไทย ใช้เกสรบัวหลวงสดหรือแห้งประมาณ 1 หยิบมือชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว(ประมาณ 240 มิลลิลิตร) แช่ทิ้งไว้ 10-15 นาที ดื่มขณะที่ยังอุ่นอยู่ วันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว หรือใช้เกสรบัวหลวงแห้ง บดเป็นผง รับประทานครั้งละ 0.5-1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนดื่มแก้ลม3
ข้อมูลวิชาการที่เกี่ยวข้อง
1. จากการศึกษาพิษเฉียบพลันในหนูถีบจักรของสารสกัด 50% แอลกอฮอล์จากเกสรแห้ง พบว่าค่า LD50 มีค่ามากกว่า 10 กรัม/กิโลกรัม เมื่อให้โดยการป้อนหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง5
2. สารสกัดน้ำจากเกสรบัวหลวงสามารถต้านเชื้อ Staphylococcus aureus ได้อย่างอ่อน5

เอกสารอ้างอิง
1. The State Pharmacopoeia Commission of P.R. China. Pharmacopoeia of the People’s Republic of China. Vol.I.English Edition. Beijing: People’s Medical Publishing House, 2005.

2. ลีนา ผู้พัฒนพงศ์, ก่องกานดา ชยามฤต, ธีรวัฒน์ บุญทวีคุณ (คณะบรรณาธิการ). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2544). สำนักวิชาการป่าไม้. กรมป่าไม้. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ประชาชน จำกัด, 2544.

3. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. สมุนไพรไทย-จีน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา, 2547.

4. Mei XH. Shiyong Zhongyao Paozhi Zhinan. 1st ed. Hubei: Hubei Science & Technology Publishing House, 2005.

5. บพิตร กลางกัลยา, นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์. รายงานผลการศึกษาโครงการการประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาจาก สมุนไพร. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอส อาร์ พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์ จำกัด, 2544.

อาหารคาวจากบัว

ตำรับอาหารส่วนใหญ่จะเป็นตำรับอาหารจากบัวหลวง ได้แก่ แกงเขียวหวานรากบัว แกงเหลืองรากบัว แกงส้มรากบัว พล่ากุ้งรากบัว ต้มขาหมูรากบัว แกงจืดใบบัวอ่อน ข้าวห่อใบบัว ห่อหมกไหลบัว ผัดเมล็ดบัว สลัด 4 สี เมี่ยงบัวหลวง กลีบบัวหลวงกรอบ

ตำรับอาหารจากบัวสาย ได้แก่ ยำสายบัว ต้มยำสายบัวน้ำข้น และ สายบัวต้มกะทิ

ใบบัว

ในประเทศจีน “ใบบัว” จัดเป็นสมุนไพรรสขมที่มีการใช้เพื่อรักษาโรคและบำรุงร่างกายมาช้านาน โดยจะเลือกเก็บใบบัวที่โตเต็มที่ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง นำมาตากแห้งสำหรับแปรรูปเป็นสารสกัดจากสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการเป็นยาสมาน แผล, ป้องกันไข้, ลดความดันโลหิต, ยาชูกำลัง เป็นต้น การค้นพบของนักวิจัยสมัยใหม่ระบุอีกหนึ่งสรรพคุณที่น่าทึ่งของใบบัวว่ามี ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในการลดน้ำหนักและรักษาโรคอ้วน สารสกัดสามารถทำงานในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ช่วยการหลั่งน้ำดี และช่วยในการสลายไขมัน

สรรพคุณที่ลดน้ำหนัก :

ขัดขวางการก่อตัวของเซลล์ไขมันและชั้นไขมัน :

ตามผลการศึกษาล่าสุด ที่จัดทำโดย Ji-Yung Park และ Huan Du นักวิทยาศาสตร์ด้านการโภชนาการและการเผาผลาญอาหาร แห่งภาควิชาอาหารและการโภชนาการ Inha University, Incheon, Korea in 2010 นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองระบุว่าสารสกัดจาก ใบบัว เมื่อรวมกับ L- carnitine มีผลในการป้องกัน adipogenesis หรือ การก่อตัวของเซลล์ไขมันและชั้นไขมัน การศึกษายังยืนยันอีกว่าใบบัวชะลอ​​การดูดซึมของไขมันและคาร์โบไฮเดรต เพิ่มอัตราการใช้พลังงาน อัตราการเผาผลาญพลังงาน และลดไขมันในเลือด พร้อมระบุบว่า ใบบัว อย่างมีนัยสำคัญในการลดลงของน้ำหนักตัวจากการทดลองดังกล่าว

ลดการดูดซึมไขมันและคาร์โบไฮเดรต :

มีรายงานหลายฉบับระบุว่า สารสกัดจากใบบัว ป้องกันไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วยการเข้าไปยับยั้งการดูดซึมของไขมันและ คาร์โบไฮเดรต โดยลดการดูดซึมตาร์โบไฮเดรตเข้าสู่กระแสเลือดเกินกว่าความจำเป็นเพื่อไม่ให้ เกิดการสะสมเป็นไขมันส่วนเกินและยังลดการดูดซึมไขมันบริเวณลำไส้ ร่างกายจึงได้รับไขมันน้อยลง นอกจากนี้ใบบัวยังสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน และอัตราการใช้พลังงาน เพิ่มการสลายชั้นไขมันขาว และไตรกลีเซอไรด์อย่างได้ผล

เพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน :

ข้อมูลจากการทดลองเปรียบเทียบการทำงานของใบบัวกับสิ่งมีชีวิต (Nelumbo nucifera-extract solution obtained from Silab, France) ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดจากใบบัวสามารถลดการสะสมของไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างมี นัยสำคัญโดยไม่มีผลกระทบต่อการมีชีวิตของเซลล์ในร่างกายแต่อย่างใด สารสกัดจากใบบัวมีประสิทธิภาพในการสลายไขมันส่วนเกิน โดยทำให้ไขมันแตกตัวนำพาเข้าสู่ระบบการย่อยเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานและนำไป สู่ระบบขับถ่าย ผลการวิจัยดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงการใช้สารสกัดจากใบบัวว่ามี ผลที่ดีต่อการลดน้ำหนักและรักษาโรคอ้วน

การปลูกบัวในภาชนะ


ดินและการเตรียมดิน
ดินปลูก
ดินปลูกบัวที่เหมาะสมที่สุดต้องดินที่ธาตุโปแตสเซียมค่อนข้างสูง เช่น ดินเหนียว ดินท้องนา ดินท้องร่วงสวนขุดใหม่ ไม่ควรใช้ดินที่มีซากอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายไม่หมดเพราะจะทำให้น้ำเน่า เสียได้
การเตรียมดิน
นำดินเหนียวที่ได้ตากแดดให้แห้งทุบย่อยให้มีขนาดเล็กลง (ดินเหนียวถ้าแห้งจริง ๆ แล้วจะแตกง่าย) เก็บเศษวัชพืช ที่ติดมากับดินออกให้หมด แบ่งดินที่ได้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งนำไปผสมเพื่อทำเป็นดินปลูกอีกส่วนหนึ่งเป็นดินเปล่า ๆ ไม่ต้องผสมอะไรทำเป็นดินปิดหน้า
สูตรดินผสม
ดิน 10 ส่วน
ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
ร๊อคพอสเฟท 1 กำมือ/ดิน บุ๋งกี๋
ธาตุอาหารรอง 1 กำมือ/ดิน10 1 บุ๋งกี๋
ปุ๋ยคอกที่ใช้ผสมดินจะเป็นมูลอะไรก็ได้ แต่จะต้องให้แห้งและจะต้องไม่มีวัตถุอื่นเจือปนในกรณีที่ใช้ปุ๋ยคอกเป็นมูล ไก่หรือ มูลค้างคาวให้เพิ่มดินเป็น 15 ส่วน ทั้งนี้เพราะมูลทั้ง 2 ชนิดมีฟอสฟอรัสค่อนข้างสูงอาจเป็นโทษต่อบัวได้
วิธีการปลูก
บัวแต่ละชนิดมีวิธีการปลูกต่างกันตามลักษณะของวัสดุปลูกและการเจริญเติบ โตสำหรับการปลูกด้วยวัตถุประสงค์ให้เป็น ไม้ดอกไม้ประดับ วัสดุปลูกคือ ส่วนของพืชที่ขยายพันธุ์ (Vegetative propagation) ได้แก่ หน่อ ไหลที่แตกต้นใหม่ เหง้า บัว และต้นอ่อนที่เกิดจากหัวหรือต้นแม่บัวแต่ละชนิดมีวิธีปลูกดังนี้
ส่วนที่ขยายพันธุ์ปลูกคือไหลที่กำลังจะแตกต้นอ่อน ต้นอ่อนที่เกิดจากไหลและเนื่องจากการเจริญเติบโตของบัวหลวง สามารถสร้างไหลเจริญตามแนวนอนใต้ผิวดินไปได้ทุกทิศทางและเร็วมาก การปลูกจึงแทบไม่มีกฎเกณฑ์อะไร เพียงแต่ ฝังไหลในจุดที่ต้องการใต้ผิวดิน 8-12 เซนติเมตร กลบอัดดินให้แน่นถ้าไม่มีต้นอ่อนฝังกลบทั้งไหลบัวจะเจริญและแตก ต้นอ่อนขึ้นมาเอง ถ้ามีต้นอ่อนก็ให้ส่วนยอดของต้นที่อ่อนโผล่เหนือดินและไม่ต้องห่วงมากนัก เรื่องที่จะให้พ้นน้ำอยู่ใต้ ผิวน้ำสัก 10-15 เซนติเมตรก็ได้ไหลบัวหลวงที่ผู้เรียบเรียงสั่งมาจากต่างประเทศเป็นไหลแก่ หรือเหง้าไม่มีใบเลย มีแต่ ส่วนข้อและยอดที่จะแตกต้นใหม่ปลูกแช่ในน้ำลึก 30 เซนติเมตร เพียง 3-4 สัปดาห์ก็แตกใบขึ้นพ้นน้ำ
บัวฝรั่ง
วัสดุปลูกส่วนใหญ่จะเป็นเหง้าที่มีหน่องอกต้นแล้วซึ่งจะอยู่ส่วนปลายของหน่อ หรือเหง้า เนื่องจากการเจริญเติบโตตาม แนวนอนริมอ่างใต้ผิวดิน 3-4 เซนติเมตร อัดแน่นในส่วนปลายหันเข้ากลางอ่างอุบลชาติจะเจริญเติบโตและเลื้อย จาก ริมอ่างด้านหนึ่งไปชนริมอ่างอีกด้านหนึ่งและจะชงักการเจริญเติบโตใบเล็กลง ไม่ค่อยออกดอก หักเหง้าส่วนปลายหันกลับ ปลูกใหม่ ให้วิ่งย้อนกลับใช้หลักการเดียวกันกับปลูกโดยตรงในบ่อคอนกรีต พลาสติกหรือบ่อดิน คูคลอง ฯลฯ การปลูก แบบนี้โดยเฉพาะในบ่อกว้างที่ปลูกโดยตรงอุบลชาติจะเจริญแตกหน่อ ขยายเหง้า แผ่ออกไปเหมือนรูปพัด แต่ถ้ามีวัตถุ ประสงค์ที่จะปลูกให้เจริญเป็นกระจุกหรือวงกลมแนะนำให้ปลูกจุดละ 3 เหง้า วางเป็นรูป 3 เหลี่ย หรือ 3 ศร
อุบลชาติจะเจริญและแผ่เป็นรูปวงกลมแต่ถ้ามีพันธุ์น้อย ปลูกเหง้าเดียวแล้วค่อยหักปลายเหง้าที่แตกใหม่เข้าทิศทางที่
บัวผัน บัวเผื่อน บัวสาย และจงกลนี
เจริญเติบโตทางดิ่งจึงปลูกได้โดยตรง ณ จุดที่ต้องการ ถ้าปลูกในอ่างหรือกระถางก็ปลูกตรงกลางด้วยหัวหรือต้นอ่อนฝัง ให้อยู่ใต้ผิวดิน 2-3 เซนติเมตร อัดแน่น
หลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไปสำหรับอุบลชาติเมื่อเริ่มปลูกคือ ปรับระดับน้ำให้สูงกว่าใบที่เจริญที่สุด 10-15 เซนติเมตร ธรรมชาติ ของอุบลชาติจะรัดและเร่งให้ใบเจริญขึ้นสูงเหนือน้ำภายใน 2-3 วัน
บัวกระด้ง
ปลูกโดยการเพาะเมล็ดในดินในกระถางแช่น้ำ เมื่อต้นโตแตกใบอ่อน 2-3 ใบ ขนาดใบที่ใหญ่ที่สุดยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ย้ายปลูกในกระถางใหญ่ขึ้น ๆ จนโตเต็มที่ในกระถางขนาดปากกว้าง 12 นิ้ว ยกทั้งกระถางลงฝังในบ่อให้ดิน พื้นบ่อกลบโคน 6-10 เซนติเมตร ต่อยกระถางให้แตก รื้อออกกลบดินรอบให้แน่น หรือย้ายปลูกเช่นเดียวกับต้นไม้ทั่วไป คือเราะดินให้ยึดรากออกจากกระถางทั้งกระเปาะแล้วฝังปลูกในบ่อหลักที่อาจจะ ใช้เป็นข้อสังเกตว่าบัวจะรอดหรือไม่คือ ดูการขึ้นของขอบกระด้ง ตราบใดที่บัวยังไม่ได้ตั้งตัวได้เต็มที่ใบจะไม่ขึ้นขอบเป็นรูปกระด้งเมื่อไร แสดงว่าคงรอดตายแน่ ถ้าไม่ต้องการที่จะต่อยกระถางให้แตกย้ายปลูกครั้งสุดท้ายลงในกระถางปลูก กล้วยไม้ปากกว้าง 12 นิ้ว ที่มีรูปข้างกระถาง โดยรอบแล้วห่อกระถางด้วยพลาสติกเวลาปลูกลงห่อกระถางด้วยพลาสติกเวลาปลูกลง บ่อรื้อพลาสติกที่ห่อออก ปลูก ณ จุดที่ต้องการทั้งกระถางเลย
หลักเกณฑ์ในการบรรจุดินและปลูกบัวในภาชนะปลูก
การบรรจุดิน
ตามปริมาณและความลึกที่บัวแต่ละพันธุ์ต้องการ บรรดุดินผสมปุ๋ยสองในสามส่วนของดินที่จะใช้ปลูกทั้งหมดอัดแน่น ชั้นล่างอีกหนึ่งในสามด้านบนบรรจุดินเหนียวป่นธรรมดา เติมน้ำพอชุ่ม อัดแน่น
การปลูกบัวหลวง-บัวฝรั่ง
เพราะเจริญเติบโตทางนอนจึงควรใช้ภาชนะทรงกว้างปลูกริมภาชนะให้ยอดหันเข้ากลางภาชนะ
ระดับน้ำ
ดินปิด 1/3
ดินผสม 2/3
การปลูกบัวผัน บัวสาย จงกลนี และบัวกระด้ง (ปลูกในภาชนะที่ใหญ่มาก) เจริญเติบโตทางตั้ง (ดิ่ง) จึงควรใช้ภาชนะ ทรงสูงปลูกกลางภาชนะ
ระดับน้ำ
ดินปิด 1/3
ดินผสม 2/3
หลักเกณฑ์ในการดูแลรักษา
บัวทุกชนิด (หรือต้นไม้ทุกชนิด) ปลูกไม่ยาก สำหรับบัว การดูแลรักษาถ้าปลูกเป็นไม้ดอก-ไม้ประดับในบ้านเพียงไม่กี่ต้น เช่น ปลูกภาชนะจำกัดเป็นอ่าง ๆ หรือบ่อเล็ก ๆ ในสวนหย่อมไม่ยากเลย งานเบามาก เด็ก สตรี และคนชราก็ทำเองได้แต่ ถ้าปลูกในบ่อพลาสติกหรือบ่อดินขนาดใหญ่มีบัวเป็นสิบ ๆ ต้น งานดูแลรักษาไม่หนักแต่ใช้เวลามาก
หลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาที่สำคัญได้แก่
1. ป้องกันน้ำเสีย
โดยเฉพาะการปลูกในภาชนะจำกัดและขนาดเล็กปริมาณน้ำน้อยบัวก็เหมือนกับปลา ต้องการอากาศหายใจในน้ำถ้าน้ำเสีย อ๊อกซิเย่นไม่มีจะพาลตายได้ง่าย เด็ดใบแก่ดอกโรยทิ้งเสียก่อนจะเน่าในภาชนะหรือบ่อที่ปลูกถ้าไม่จำเป็นไม่ควร แก้ไข โดยการถ่ายน้ำเปลี่ยนน้ำใหม่บ่อย ๆ เพราะจะต้องทำให้บัวต้องปรับตัวเองตามจะเจริญเติบโตช้าแต่ถ้าจำเป็นด้วยเหตุ เช่น มีสัตว์ตายอยู่ใต้ดินปลูก ได้แก่ กิ้งกือ ไส้เดือน หรือคางคกลงไปปล้ำกัดกันตายหรือออกไข่-ออกลูกจนน้ำเน่าเสีย หรือ อินทรีย์วัตถุที่ติดมากับดินปลูกยังเน่าเปื่อยไม่หมดทำให้น้ำเน่า ถ่ายน้ำ 2-3 ครั้ง แล้วยังไม่หายต้องเปลี่ยนดินปลูกใหม่
2. ปราบตะไคร่น้ำ-สาหร่าย
ตะไคร่น้ำที่เกิดจากอินทรีย์วัตถุ เช่นมูลสัตว์ที่ใช้เป็นปุ๋ยคลุกที่ยังไม่สลายตัวเต็มที่ สาหร่ายอาจติดมากับดินปลูกเก็บทิ้ง ถ้าปลูกไม่กี่ต้น ถ้าปลูกมากแต่ปลูกในภาชนะจำกัดใช้ด่างทับทิมละลายน้ำในภาชนะปลูกเป็นสีบาน เย็นเข้มทิ้งไว้ 2-3 วัน ถ่ายน้ำออกครึ่งหนึ่งเก็บตะไคร่สาหร่ายที่ตายออกเติมน้ำใหม่ตามเดิม
3. เก็บคราบน้ำมัน
ไขมันจากกระดูกป่นหรืออินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อยไม่หมดและการปลูกที่อัดดิน ไม่แน่น ดินกลบกลบดินผสมเบื้องล่าง ไม่สมบูรณ์ ไขมันจะละลายเป็นฝ้า ถ้าปลูกในอ่างหรือในภาชนะจำกัดใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปะลอยบนผิวน้ำจะช่วยซับ คราบน้ำมันออกถ้าปลูกในบ่อที่มีท่อน้ำล้น ปล่อยน้ำดันให้น้ำผิวหน้าไหลล้นออกทางท่อระบายน้ำ
4. ต้นและรากลอย
เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ผู้ที่สนใจเลิกปลูกบัวไปหลายราย โดยเฉพาะอุบลชาติ เช่น เมื่อปลูกใหม่ ๆ ถ้ากดอัดดินทับไม่แน่น ต้นเหง้าลอย รากดูดอาหารมาเลี้ยงลำต้นไม่ได้สังเกตได้ง่ายที่สุด ไม่โตสักที ใบเล็กลงและใบเหลือง แก่เร็ว แก้โดย การปลูกใหม่ และหาไม้ไผ่อ่อนพับครึ่งคล้ายปากเคียเสียงคร่อนต้นที่ปลูกกันไม่ให้ลอย (ชาวสวนปลูกบัวเรียกตะเกียบ) สำหรับต้นแก่ที่ปลูกไว้นานแล้ว โดยเฉพาะในภาชนะที่จำกัดอุบลชาติประเภทยืนต้นเจริญทางนอนจนไปชนอีกผนังของ อ่างหรือบ่อในหลายกรณีจะหักขึ้นบนเจริญขึ้นไปจนรากลอยตัดเหง้าที่ไม่ต้องการ ทิ้ง ปลูกใหม่
5. ที่ปลูกร้อนเกินไป
บัวทุกชนิดต้องการแดดเต็มที่ จะมีปัญหาถ้าที่ปลูกบัวตื้นน้ำน้อยแดดเผาน้ำจนร้อน สังเกตง่าย ๆ ขนาดน้ำอุ่นพอที่จะอาบได้ สบาย ๆ ก็ถือว่าร้อนแล้วสำหรับบัว บัวต้องการแดดเต็มที่วันละไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง ขยับที่ปลูกเสียใหม่ถ้าปลูกในภาชนะ ที่เคลื่อนย้ายได้หรือเปลี่ยนภาชนะที่ปลูกให้น้ำลึกขึ้น หรือถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้และที่ปลูกได้แดดทั้งวัน ใช้มุ้งลวดหรือ มุ้งพลาสติกกันด้านบนเพื่อลดความเข้ม-ร้อนของแสง
6. ดินจืด
มี 2 สาเหตุ คือ ขาดปุ๋ย หรือขาดดิน (ถ้าปลูกในภาชนะจำกัด) สังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าบัวใบเล็กลง เหลืองแก่เร็ว ถ้าปลูกใน บ่อดินที่เหลือเฟือก็คือขาดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยสูตรกลาง ๆ ทั่วไป เช่น 10-10-10, 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือปุ๋ยสำหรับบัว โดยเฉพาะถ้าปลูกในภาชนะจำกัดที่สามารถอัดปุ๋ยได้ในการจุ่มมือครั้งเดียว จะใช้ปุ๋ยห่อกระดาษอ่อนที่ใช้เข้าห้องน้ำหรือ กระดาษหนังสือพิมพ์อัดฝังโคนต้นบัวเลย แต่ถ้าต้องใช้เวลาในการฝังปุ๋ยทำปุ๋ย ลูกกอนำโดยปั้นดินหุ้มปุ๋ยผึ่งแห้งเตรียมไว้ จะใช้เมื่อไรก็ฝังโคนต้นสำหรับปริมาณใช้เท่าไรขึ้นอยู่กับการสังเกตและศึกษา เองของผู้ปลูก เพราะภาชนะปลูกเล็ก-ใหญ่ ต่างกันปริมาณน้ำปลูกมากน้อยต่างกัน ปลูกในบ่อดิน บ่อคอนกรีต พันธุ์ชนิดบัว ฯลฯ จึงไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ ์ตายตัวได้ถ้าปลูกในภาชนะจำกัด อีกสาเหตุคือขาดดิน บัวจะออกรากขยายเหง้า ฯลฯ ดันดินพ้นภาชนะละลายไปอยู่กั น้ำจนในที่สุดแทบจะไม่มีดินเหลืออยู่เลย ราก-เหง้าอัดภาชนะเต็มไปหมด แก้โดยรื้อเปลี่ยนดินปลูกใหม่
7. โรค-แมลงศัตรู
ที่พบเป็นประจำ คือ โรคใบจุดและรากเน่าโรคใบจุดไม่ร้ายแรง เพราะใบบัวมีพื้นที่ปรุงอาหารมากเด็ดใบเป็นโรคทำลาย ทิ้งไป โรครากเน่ามีบ้างร้ายแรงกับบัวกระด้งและอุบลชาติ ประเภทล้มลุกบางพันธุ์ ยังไม่ทราบวิธีแก้ นอกจากนั้น คือ เก็บดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสียเลี่ยงไปปลูกบัวชนิดอื่น หรืออุบลชาติประเภทอื่นแทน แมลงที่สำคัญกินบัว ทุกชนิดคือ เพลี้ยและหนอนบัวหลวงเดือดร้อนมากที่สุด เพราะชูใบขึ้นมาให้เพลี้ยเกาะกินบัวชนิดอื่นถูกทำลายบ้างแต่ ใบลอยน้ำฝนตกน้ำกระเพื่อมก็ช่วยซัดเอาเพลี้ยหลุดลอยไปได้บ้าง (ปกติผู้ปลูกเป็นการค้าจะพ่นน้ำให้ลอยหลุดไป) ป้องกันโดยเด็ดใบที่มีเพลี้ยและหนอนท้ง-ทำลายหนอนพับหนอนพับใบเป็นศัตรูที่ สำคัญของอุบลชาติ เช่นผีเสื้อ กลางคืนจะมาวางไข่บนใบเมื่อฟักเป็นตัวหนอนจะกัดกินดูดน้ำเลี้ยงใบจนโตแล้ว กัดใบพับทับตัวเองเพื่อป้องกันศัตรู เช่น นก ฯลฯ ป้องกันกำจัดโดยการบี้ทำลาย บัวหลวงมีศัตรูหนอนมากที่สุดนอกเหนือจากเพลี้ยไฟซึ่งเก่ากินใต้ใบ หนอนกระทู้หนอนชอนใบ โดยเฉพาะหนอนกระทู้กินใบ โกร๋นทั้งต้นซึ่งจะเกิดในช่วงปลายฤดูฝนและในฤดูหนาวซึ่ง เป็นระยะที่บัวชงักการเจริญเติบโตด้วย กสิกรที่ปลูกบัวหลวงเป็นการค้ามักจะตัดใบทิ้ง-ทำลายหมด(ให้หมดเชื้อของหนอน) รอให้ใบแตกใหม่-ออกดอกใหม่ แมลงที่กล่าวทั้งหมดสามารถปราบและควบคุมได้พอสมควรโดยใช้ยาอะโซดริน 60 ผสมน้ำอัตราส่วนน้ำยา 1:100 (1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร) ฉีดพ่นให้เป็นฝอยให้จับหน้าของใบบัวบาง ๆ ใบจะดูดน้ำยาเข้าไว้ เมื่อแมลงและหนอนมาดูดกินน้ำเลี้ยงของใบจะกินยาเข้าไปด้วยและตาย ฉีดพ่นทุก ๆ สัปดาห์จนกว่าจะหมดศัตรูฉีดบาง ๆ จะไม่เป็นอันตรายทั้งกับคนและปลาที่เลี้ยง
8. หอย
ส่วนใหญ่ได้แก่หอยขมและหอยคันเป็นทั้งมิตรและศัตรู หอยโข่งเป็นศัตรูที่จงใจ แต่หอยขมเป็นศัตรูที่ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจ บ้างคือเมื่อตอนเป็นต้นอ่อนจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากรากและใบอ่อนที่เกิดใหม่ ๆ ใต้น้ำ โดยเฉพาะอุบลชาติบัวหลวงไม่ค่อย เดือดร้อนเพราะมีสารที่เรียกว่า ดิวติน เคลือบอยู่ และก้านใบก้านดอกมีหนามเล็ก ๆ (บัวกระด้งหนามเต็มต้นไม่เดือนร้อน เลย) หอยขมและหอยโข่งเมื่อโตขึ้นจะเดินทางจากโคนก้านใบขึ้นมาใต้ใบเกาะดูดน้ำ เลี้ยงจากไข่-ตัวหนอน และน้ำเลี้ยง ใบกินระหว่างเดินทางจากโคนก้านใบขึ้นมาใต้ใบ ถ้าน้ำกระเพื่อมกระเทือนจะหุบก้าน ปล่อยตัวหลุดจากก้านบัวเมื่อก้านหุบ ก็เลยเหมือนมีดตัดก้านบัวที่ยังอ่อน ๆ ขาดไปด้วยเป็นปัญหาใหญ่ของการปลูกในบ่อดินป้องกันกำจัดโดยการเก็บทิ้งและ ปลูกอุบลชาติเผื่อไว้มาก ๆ จะได้แบ่งเบาการทำลายลงไปได้บ้าง ถ้าปลูกในภาชนะจำกัดเก็บทิ้งง่ายหอยจะเป็นตัวบอกว่า น้ำเสียหรือยังถ้าน้ำเสียหอยจะลอยมาเกาะตามผนังภาชนะ ณ จุดผิวน้ำเพื่อหาอากาศหายใจแสดงว่าอ๊อกซิเย่นในน้ำไม่มี น้ำเสียแล้วควรรีบแก้ไข
9. วัชพืช
เป็นปัญหาที่ใหญ่ของการปลูกบัวในบ่อดิน หญ้ามิใช่วัชพืชหลักเพราะเมื่อถอนทิ้งไปแล้วก็หมดไปโดยเฉพาะน้ำมากและ ลึกพอควรที่เป็นปัญหาหลักคือสาหร่ายมี 2-3 ชนิด เช่น สาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายวุ้น สาหร่ายไปและสาหร่ายฝอย สาหร่ายหางกระรอกปราบยากที่สุดเพราะเปาะเมื่อถูกถอนมันจะขาดส่วนที่ขาดจะลอย และไปขยายพันธุ์ต่อที่อื่น สาหร่าย วุ้นยากเป็นที่ 2 เพราะลื่นและหลุดขาดออกจากกันง่ายเช่นเดียวกับสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายเส้น หรือสาหร่ายฝอย เก็บปราบง่ายที่สุดเพราะไม่ค่อยขาดถอนหรือเก็บได้ทั้งกระจุกแต่จะร้ายที่สุด เพราะมักจะไปพันบัวเสียจนยอดบัวเจริญ ขึ้นมาได้ ลูกบัวและก้านบัวต้นเล็ก ๆ ที่งอกจากเมล็ดจากอุบลชาติประเภทล้มลุกทั้งพวกบานกลางวันและบานกลางคืน คือบัวผัน บัวเผื่อน และบัวสายเป็นปัญหามากที่สุดและไม่รู้จักจบสำหรับการปลูกในบ่อดินที่ปลูก อุบลชาติประเภทนี้ ต้อง เก็บกันเป็นประจำทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ เพราะนอกจากจะทำให้บ่อบัวรกไม่สวยงามแล้ว ยังแย่งแร่ธาตุอาหารจากบัวที่ปลูก อีกด้วย วิธีแก้คือต้องขยันหมั่นเก็บดอกแก่ทิ้งก่อนติดเมล็ดถ้าปลูกบ่อใหม่และคิดว่า จะเก็บไม่ทัน และปลูกหลายบ่อแนะนำ ให้แยกปลูกอุบลชาติประเภทยืนต้นไว้บ่อหนึ่ง ล้มลุกอีกบ่อหนึ่ง เก็บลูกบัววัชพืชเฉพาะบ่อปลูกประเภทล้มลุกบ่อเดียว
10. ฟักตัวในฤดูหนาว
อุบลชาติประเภทยืนต้นหรือบัวฝรั่งหลายพันธุ์ และอุบลชาติประเภทล้มลุกบานกลางวัน หรือบัวผัน บัวเผื่อนที่นำมาจาก ต่างประเทศบางพันธุ์จะหยุดการเจริญเติบโตผลิตใบหนา ก้านใบสั้น จมอยู่ใต้น้ำในฤดูหนาวแก้โดยเพิ่มความร้อนและ แสงให้ หรือโดยการลดความลึกของระดับน้ำในบ่อที่ปลูกก่อนเข้าฤดูหนาว 1 เดือน (ประมาณกลางเดือนตุลาคม) โดย ลดระดับน้ำให้เหลือ 15-20 เซนติเมตรจากผิวดิน หรือยกอ่างปลูกให้อยู่ใกล้ผิวหน้าของน้ำตามเกณฑ์ดังกล่าว
11. ปลูกบัวพันธุ์ไหนที่เหมาะสมกับสถานที่และภาชนะที่ปลูก
เป็นหัวใจของการดูและรักษาเพราะถ้าชนิดพันธุ์ไม่เหมาะสมแก่สถานที่ที่จะดูแล รักษาอย่างไรก็ไม่โต ในปัจจุบันพันธุ์ ที่มีจำหน่ายผู้ขายและผู้ปลูกควรรู้จักพันธุ์ว่าชนิดใดชอบน้ำตื้นน้ำลึก ที่ปลูกควรกว้างหรือแคบแค่ไหนผู้ผลิตพันธุ์ออกมา จำหน่ายจะต้องบอกได้ว่าบัวพันธุ์นั้น ๆ ต้องการที่ปลูกอย่างไร
12. อย่าให้อดอาหารและอย่าให้กินจนเป็นโรคท้องมาร
ใส่ปุ๋ยบำรุงตามความจำเป็นถ้าใส่มากเกินไปน้ำจะเขียว ปุ๋ยสูตรสมดุล10-10-10, 12-12-12, 15-15-15 หรือ 16-16-16 ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 2 ชั้น หรือปั้นเอาดินเหนียวหุ้มปริมาณเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการสังเกตของผู้ปลูก เพราะผู้ปลูกแต่ละ รายปลูกในภาชนะขนาดแตกต่างกัน การให้ปุ๋ยแต่ละครั้งต้องหมั่นสังเกตถ้าน้ำเขียว ตะไคร่ สาหร่ายขึ้นเร็วแสดงว่าให้ปุ๋ย มากเกินไปควรลดปริมาณหรือความถี่ในการให้ปุ๋ยลง
13. เลี้ยงปลาที่ไม่กินพืช
เช่น ปลาหางนกยูง ปลาสอด หรือปลากัด เพราะจะช่วยกินลูกน้ำ
14. อย่าให้บัวขยายพันธุ์จนแน่นในภาชนะเดียวกัน
บัวฝรั่งจะแตกต่าง บัวสาย บัวหลวง จะแตกไหลไปขึ้นต้นใหม่ บัวผันหรือบัวสายเกิดเมล็ดงอกเป็นต้นใหม่แน่นภาชนะ ให้เอาออกเพราะหากแน่นมากไปต้นจะไม่ออกดอก
15. อย่าปลูกบัวหลายพันธุ์ในภาชนะเดียวกัน
ต้นจากพันธุ์ที่แข็งแรงโตเร็วจะเบียดต้นอ่อนแอจนตายไปในที่สุด
16. บัวฝรั่ง บัวหลวง เจริญตามแนวนอน
ถ้าพุ่งชนภาชนะเมื่อไรจะชงักการเจริญเติบโต หักเหง้าหรือไหลให้ยอดหันกลับทางกลางอ่างหรือบ่อ
17. ไม่จำเป็นอย่าถ่ายน้ำในบ่อบัว
เพราะจะเป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากที่บัวเคยชิน บัวจะไม่งาม ถ้าจำเป็นจะต้องถ่ายควรถ่ายออกครึ่งหนึ่งเก็บไว้ ครึ่งหนึ่งจะเป็นการดี
18. เปลี่ยนดินปลูกใหม่
ควรเปลี่ยนเมื่อรากแน่นภาชนะที่ปลูกและถ้าปลูกในภาชนะที่จำกัดหรือถ้าปลูกในบ่อและนาน ๆ หลาย ๆ ปี ก็น่าต้องเปลี่ยน หน้าดินเหมือนกัน

การพับดอกบัวแบบสุวรรณี



พับครึ่งตามขวาง
พับปลายกลีบเข้าในโคนดอก





























วิธีการพับดอกบัวแบบดาวกระจาย

จับกลีบออกมา 1 กลีบ

พับไปทางขวา


พับกลับมาทางซ้าย


พับกลับไปทางขวา


พับอย่างนี้ต่อไปทุกกลี